เมล็ดผักคัด
คือเมล็ดผักที่ผลิตขึ้นโดยนักปรับปรุงพันธุ์ซึ่งต้องทำการคัดเลือกเฉพาะเมล็ดผักที่มีคุณสมบัติตามที่นักปรับปรุงพันธุ์กำหนดคิดค้นขึ้นมา ภายใต้การควบคุม / ตรวจพันธุ์อย่างถี่ถ้วน เมล็ดผักคัดจะนำไปปลูกเป็นพันธุ์หลักในปีต่อไป
เมล็ดผักหลัก
คือเมล็ดผักที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดผักคัดภายใต้คำแนะนำและวิธีการของนักปรับปรุงพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตรหรือสถาบันวิชาการฯ เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และลักษณะประจำพันธุ์ของผักชนิดนั้น ๆ เมล็กผักหลักที่ได้นำไปปลูกเป็นพันธุ์ขยายต่อไป
เมล็ดผักขยาย
คือ เมล็ดผักที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดผักหลัก โดยเกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้จัดทำแปลงขยายพันธุ์ ภายใต้การควบคุมดูแลและให้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการและเจ้าหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ของศูนย์ขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร
เมล็ดผักจำหน่าย
คือ เมล็ดผักที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดผักขยาย โดยเกษตรกรแปลงขยายพันธุ์ ด้วยการปฎิบัติตามวิธีการที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ ของศูนย์ขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้แก่เกษตรกรทั่วไป
3.1 เมล็ดผักพันธุ์เปิด หรือ ที่เรียกว่า โอ.พี. (O.P.) ที่ย่อมาจากคำว่า Open breed ความหมายของมันก็คือ เป็นเมล็ดผักสายพันธุ์แท้
ที่มีพันธุ์กรรมคงที่ ไม่มีการแปรปรวนทางพันธุกรรมเกิดขึ้น หากมีการนำเมล็ดผักที่ได้จากการเพาะปลูกในรุ่นถัดๆกันไปทำการเพาะปลูกขยายพันธุ์
ก็จะได้ต้นที่มีลักษณะที่เหมือนต้นเดิมทุกประการ ทั้งรูปทรง โครงสร้าง และผลผลิต พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เราสามารถเก็บพันธุ์เองได้
3.2 เมล็ดผัก F1 (F one hybrid) เป็นเมล็ดผักสายพันธุ์ลูกผสม ในชั่ว (รุ่น) ที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์แท้ 2 สายพันธุ์ (อาจจะ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ก็ได้)
เมื่อนำเมล็ดผักที่ได้ไปปลูกจะมีการเปลี่ยแปลงของลักษณะเกิดขึ้นผิดไปจากเดิม (ทั้ง 2 สายพันธุ์) ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะดีขึ้น หรือเลวลงก็ได้
(แต่ส่วนใหญ่จะดีขึ้น เช่นความแข็งแรง การให้ผลผลิต และอื่นๆอีกหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของต้นที่นำมาผสมกัน) เมล็ดผักชนิดนี้มีความแปรปรวนของพันธุกรรมสูง
มีการกระจายตัวของหน่วยพันธุกรรมมาก เมล็ดผักที่ได้จากต้น เอฟ วัน เมื่อนำไปปลูกจะมีความแตกต่างกันในหลายลักษณะ จะไม่เหมือนต้นแม่
ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บมาทำพันธุ์ต่อไป ส่วนใหญ่จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตในเชิงการค้า เนื่องจากให้ผลดีกว่า ผลผลิตสูงกว่า พันธุ์เปิด ปัจจุบันเมล็ดผักจะเป็นลูกผสม ไฮบริดเสียส่วนใหญ่
นอกจากผลดีทางพันธุกรรมแล้ว ยังควบคุมสายพันธุ์ไว้ในการควบคุมเพื่อหวังผลทางการตลาดได้ด้วย (ถือเป็นความลับ และลิขสิทธิ์)
1. เมล็ดผักแบบไม่เคลือบ
เมล็ดผักประเภทนี้จะผ่านการลดความชื้นมาแล้ว สามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้นาน ประมาณ 1 – 2 ปี
และมีราคาถูกกว่าเมล็ดผักแบบเคลือบค่อนข้างมาก การเพาะเมล็ดผักแบบไม่เคลือบนี้แนะนำให้กระตุ้นการงอกโดยใช้กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท
รองด้านในด้วยกระดาษชำระประมาณ 2 ชั้นแล้วพรมน้ำให้กระดาษเปียก และเทน้ำออก จากนั้นให้นำเมล็ดผักสลัดมาโรยลงบนกระดาษชำระ โดยไม่ต้องพรมน้ำซ้ำ
แล้วปิดฝากล่องให้สนิท (แนะนำให้นำไปวางไว้ในที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ห้องปรับอากาศ) ประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง เมล็ดผักจะเริ่มงอกให้ย้ายลงวัสดุปลูกได้เลย
อย่าปล่อยให้เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) เพราะรากผักจะยาวเร็วมากและทำให้ย้ายปลูกได้ยาก การกระตุ้นการงอกด้วยวิธีนี้จะทำให้เมล็ดผักที่เราเพาะมีเปอร์เซ็นต์
การงอกและความสม่ำเสมอของการงอกสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดผักจากการเพาะเมล็ดผักลงวัสดุปลูกโดยตรง
ให้ผักที่ปลูกมีความสม่ำเสมอของต้นที่เท่ากัน มากกว่าการเพาะลงในวัสดุปลูกโดยตรง เนื่องจากการเพาะลงวัสดุปลูกโดยตรงนั้นเมล็ดผักมีความเสี่ยง
ที่จะถูกทำลายโดยเชื้อโรคหรือแมลง อีกทั้งผู้ปลูกยังควบคุมปัจจัยการงอกของเมล็ดได้ยากกว่าด้วย
2. เมล็ดผักแบบเคลือบ เมล็ดผักชนิดนี้จะถูกคัดเลือกมาจากเมล็ดที่สมบูรณ์ แล้วนำมาเคลือบด้วยแป้งหรือดินเหนียว (Pelleted seed)
เพื่อเป็นการรักษาสภาพของเมล็ดผักเอาไว้ ข้อดีของการใช้เมล็ดผักแบบเคลือบก็คือ สะดวกในการเพาะเมล็ดผักเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น
วัสดุที่หุ้มเมล็ดผักยังช่วยนำพาความชื้นสู่เมล็ดผักได้อย่างทั่วถึงทั้งเมล็ด ทำให้ผู้ปลูกสามารถเพาะลงวัสดุปลูกได้โดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยการงอก
ที่ไม่สม่ำเสมอของการเพาะเมล็ดผักลงได้ ส่วนข้อเสียของเมล็ดผักแบบเคลือบนี้คือ มีราคาแพง และมักพบปัญหาเมล็ดผักเสื่อมสภาพเร็วหากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี
(ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา 4 – 7 องศาเซลเซียส) การเพาะเมล็ดผักแบบเคลือบหากฝังเมล็ดผักในวัสดุปลูกลึกเกินไปก็ทำให้เมล็ดผักเน่า หรือถ้าหากตื้นเกินไป
ก็ทำให้เมล็ดผักได้ความชื้นไม่เพียงพอก็ทำให้ไม่งอกเช่นกัน สำหรับเมล็ดผักแบบเคลือบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ลูกผสม หรือ Hybrid F1 ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์
ให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพและผลผลิตสูงกว่าเมล็ดผักพันธุ์ดั้งเดิมเพื่อให้ได้ตรงกับความต้องการของตลาด ด้วยต้นทุนการผลิตเมล็ดผักเคลือบที่สูงทำให้เมล็ดผักแบบเคลือบ
นี้มีชนิดและสายพันธุ์ของผักให้เลือกค่อนข้างน้อย
การเลือกใช้เมล็ดผักแต่ละชนิด จึงควรเลือกให้เหมาะกับเรามากที่สุด กล่าวคือหากเราปลูกเพื่อรับประทานเอง ซึ่งใช้เมล็ดผักในการปลูกไม่มาก ก็ให้เลือกใช้เมล็ดแบบไม่เคลือบก็พอ
เนื่องจากเก็บได้นาน, ราคาถูก มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก แต่หากต้องการปลูกเพื่อเป็นการค้าและต้องปลูกเป็นจำนวนมากเพื่อลดขั้นตอนการเพาะเมล็ดก็สามารถเลือกใช้เมล็ดผักแบบเคลือบแทน
แต่ทั้งนี้ผักที่ปลูกจะมีคุณภาพทั้งทางด้านรูปลักษณ์, สีสรร รวมถึงน้ำหนัก จะดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และปัจจัยอื่นๆ ในการปลูกประกอบด้วยเป็นสำคัญ
เมล็ดพันธุ์ผักทุกชนิดที่เรานำมาเพาะต้องอาศัยปัจจัยในการทำให้เมล็ดผักงอกเป็นต้นอ่อน คือ น้ำ, อุณหภูมิ, ออกซิเจน และสำหรับพืชบางชนิดอาจต้องใช้แสงช่วยในการกระตุ้น
การงอกด้วย ตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่นได้มีการใช้แสงสีแดงช่วยกระตุ้นการงอกของเมล็ดผัก และใช้แสงสีน้ำเงินช่วยในการเจริญเติบโตของต้นพืชด้วย
โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสมและดีที่สุดในการเพาะเมล็ดผัก จะอยู่ในช่วง 18 – 20 องศาเซลเซียส ปัญหาที่สำคัญในการเพาะเมล็ดผัก คืออากาศของเมืองไทยค่อนข้างร้อน
ซึ่งมีผลทำให้การงอกของเมล็ดเป็นไปได้ช้า และมีเปอร์เซ็นต์งอกต่ำ เนื่องจากขณะที่เมล็ดผักได้รับความชื้นจากน้ำ เมล็ดผักจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในตัวเมล็ด
ในกระบวนการงอกนั้นเมล็ดผักต้องการอ๊อกซิเจนช่วยในกระบวนการนี้ หากอุณหภูมิสูงจะทำให้อ๊อกซิเจนต่ำ บวกกับถ้าวัสดุปลูกแฉะมากเกินไป ทำให้เมล็ดผักมีโอกาสเสี่ยง
กับการขาดอ๊อกซิเจน และเชื้อราเข้าทำลายได้ง่าย ดังนั้นการเพาะเมล็ดผักอย่าให้วัสดุที่ปลูกเปียกชื้นมากเกินไป วิธีที่จะช่วยให้เพาะผักให้มีอัตราการงอกสูงขึ้นได้นั้น
แนะนำให้เพาะเมล็ดผักในช่วงเย็นหรือช่วงกลางคืน เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวสภาพอากาศมีอุณหภูมิต่ำซึ่งเป็นผลดีต่อการงอกของเมล็ดผัก
เมล็ดผักไทย – จีน หลายชนิดจะมีเทคนิคการเพาะที่แตกต่างกัน เช่น ผักบุ้ง, ผักชี ฯลฯ ซึ่งเป็นผักที่มีเปลือกหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็ง ดังนั้นก่อนเพาะเมล็ดผักควรนำเมล็ดผักไปแช่
ในน้ำอุ่นก่อนประมาณ 1 คืน อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเพาะเมล็ดผักไทย จะอยู่ในช่วง 25 – 30 องศาเซลเซียส
เมล็ดผักจำพวกแตง ได้แก่ แตงกวา, ฟักทอง, แตงโม, เมล่อน, แคนตาลูป เป็นพืชที่ชอบอากาศอบอุ่น – ร้อน
การเพาะเมล็ดผักในช่วงที่อากาศเย็นจะทำให้การงอกช้าออกไป โดยปกติพืชตระกูลแตงจะใช้ระยะเวลาในการงอกประมาณ 2 – 7 วัน
ก่อนนำไปเพาะควรแช่ในน้ำอุ่นก่อน 3 – 4 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 คืน แล้วนำไปห่อด้วยผ้าหรือกระดาษชุบน้ำบิดหมาดๆ ห่อเมล็ดผักไว้ แล้วนำผ้าที่ห่อเมล็ดผักนั้นไป
ใส่ถุงพลาสติกหรือกล่องถนอมอาหารอีกชั้นเพื่อบ่มเมล็ดให้อุ่นขึ้น ประมาณ 2 – 7 วันเมล็ดผักจะเริ่มงอก ก็นำไปเพาะใส่วัสดุปลูกได้เลยครับ
สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเพาะเมล็ดพืชผักจำพวกแตง จะอยู่ในช่วง 30 – 35 องศาเซลเซียส
ตารางความสัมพันธ์ของอุณหภูมิที่มีผลต่อการงอกของเมล็ดผัก
ตัวเลขนอกวงเล็บคือ % ในการงอกของเมล็ดผัก, ตัวเลขในวงเล็บคือ จำนวนวันที่ใช้ในการงอก
สรุป จากตางรางด้านบนจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิมีผลเป็นอย่างมากต่อระยะเวลาและเปอร์เซ็นต์ในการงอกของเมล็ดผักแต่ละชนิด ตัวเลขสีแดงคือค่าเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดผักที่ดีที่สุดในอุณหภูมินั้นๆ
เช่น
– เมล็ดสลัด อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 20 – 25 องศาเซลเซียส โดยจะมีเปอร์เซ็นสูงสุดและใช้เวลาน้อยที่สุด
– เมล็ดปวยเล้ง อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 5 องศาเซลเซียส โดยจะมีเปอร์เซ็นสูงสุด แต่ใช้เวลาไม่สั้นที่สุด
การปลูกพืชผักทุกชนิด ผู้ปลูกควรมีการจดบันทึกวันที่เริ่มมีการเพาะเมล็ดไว้ทุกครั้ง เพื่อใช้กำหนดขั้นตอนการดูแลผักในแต่ละวันเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเป็นการวางแผนการปลูกในรอบต่อๆไป และช่วยให้เราทราบถึงอายุผักที่ปลูกได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดผักที่แนะนำด้านล่างนี้เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง จากการที่ต้องเพาะเมล็ดผักซ่อมในกรณีที่เราเพาะลงในฟองน้ำหรือวัสดุปลูกโดยตรง
แล้วเมล็ดงอกไม่สม่ำเสมอกันหรือเมล็ดไม่งอก ทำให้เราต้องเสียเวลาในการเพาะซ่อมเมล็ดผักที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่งอกทำให้ผักในแปลงปลูกอายุไม่เท่ากัน
สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรงสามารถทำได้ แต่แนะนำให้เพาะเผื่อไว้กันพลาด อย่างเช่นการเพาะเมล็ดผักปกติกเราจะใส่ 1
เมล็ดต่องฟองน้ำ 1 ก้อน ก็ให้เราใส่ไปประมาณ 2 – 3 เมล็ด เมื่อต้นเกล้าอายุได้ประมาณ 7 วัน ก็ให้เลือกต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ 1 ต้น ที่เหลือก็ถอนออก
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะเมล็ด
1. ถาดพลาสติกสูงประมาณ 1 นิ้ว (สำหรับอนุบาลต้นกล้า)
2. ถาดพลาสติกเล็ก หรือกล่องถนอมอาหารก็ได้ (สำหรับเพาะเมล็ด)
3. กระดาษชำระ
4. เมล็ดผักที่จะทำการเพาะ
5. ฟ๊อกกี้ (ที่สเปรย์น้ำ)
6. กระดาษแข็งหรือแผ่นพลาสติกทึบแสง
7. ฟองน้ำสำหรับปลูกพืช
8. ไม้จิ้มฟันปลายแหลม
วิธีการเพาะเมล็ดผัก (แบบไม่เคลือบ)
สำหรับเมล็ดสลัดแบบเคลือบสามารถข้ามขั้นตอนการกระตุ้นการงอกโดยนำเมล็ดฝังลงวัสดุปลูกได้เลย โดยฝังเมล็ดในวัสดุปลูกลึกประมาณ 2 – 4 มิลลิเมตร รดน้ำให้พอชุ่มและคลุมถาดเพาะไว้เพื่อรักษาความชื้นให้วัสดุปลูก นำถาดเพาะมาวางไว้ที่มีอุณหภูมิไม่สูงเกินไปให้อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15 – 25 องศา C จะทำให้เมล็ดงอกได้สม่ำเสมอกัน
1. นำกระดาษชำระวางลงบนถาดขนาดเล็กหรือจาน โดยวางกระดาษชำระซ้อนกันประมาณ 2 – 3 ชั้น
2. นำเมล็ดผักที่ต้องการปลูกโรยลงบนกระดาษชำระ
3. ฉีดฟ๊อคกี้ให้ทั่วถาดเพาะเมล็ดผักให้กระดาษพอเปียก แต่อย่าให้แฉะหรือมีน้ำขังในถาด ถ้ามีน้ำขังให้เทน้ำออกให้หมด
(น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในน้ำประปาจะทำให้เมล็ดเน่า และไม่งอกได้)
4. นำกระดาษแข็งหรือแผ่นพลาสติกทึบแสงนำมาปิดถาดเอาไว้เพื่อรักษาความชื้นให้กับเมล็ดผัก อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกของผักอยู่ที่ 18 – 25 องศา C
และใช้กระบวนการงอกจากเมล็ดผักใช้เวลาประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง จึงควรนำถาดเพาะมาวางไว้ในบริเวณที่มีอากาศค่อนข้างเย็น (ถ้าเป็นห้องปรับอากาศได้จะยิ่งดีมากเพราะจะทำให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น)
5. เมื่อผ่านไปประมาณ 2 วัน หลังจากเพาะเมล็ดผัก ให้สังเกตุดูที่เมล็ดผัก จะเริ่มมีรากสีขาวของต้นกล้างอกออกมาประมาณ 2 มิลลิเมตร
ก็สามารถย้ายลงปลูกในก้อนฟองน้ำได้เลย อย่าปล่อยให้เกิน 2 วัน เพราะช่วงนี้รากของผักจะยาวเร็วมาก ถ้าย้ายช้ากว่านั้นรากจะติดกับกระดาษชำระทำให้ดึงออกได้ยาก
แต่ถ้ารากยาวมากให้เราแก้ไขโดยใช้ฟ็อคกี้ค่อยเสปรย์น้ำลงไปให้กระดาษฉุ่มน้ำพอกระดาษอ่อนนิ่มแล้วจะทำให้เราใช้คีมเล็กๆค่อยๆ ดึงเมล็ดผักออกมาได้ง่ายโดยที่รากจะไม่ขาด
6. ให้นำฟองน้ำที่จะใช้ในการปลูกเรียงในถาดเพาะ แล้วเทน้ำสะอาดให้เต็มถาดอนุบาล (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในประปาจะทำให้รากเน่าได้) จากนั้นใช้มือกดก้อนฟองน้ำเพื่อไล่อากาศจากก้อนฟอง และให้น้ำดูดซับน้ำเข้าไปแทน แล้วเทน้ำลงไปในถาดเพิ่ม ใช้มือกดก้อนฟองน้ำอีกครั้งเพื่อให้ก้อนฟองน้ำอิ่มน้ำ
แล้วเทน้ำในถาดอนุบาลให้สูงเกือบท่วมก้อนฟองน้ำ โดยห่างจากด้านบนฟองน้ำประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร
7. นำเมล็ดผักที่เพาะได้ประมาณ 1 – 2 วัน ที่มีรากสีขาวงอกออกมา (เลือกเมล็ดผักที่งอกใกล้เคียงกัน) นำไม้จิ้มฟัน หรือคีมเล็กๆ ค่อยๆ คีบเมล็ดที่มีรากงอก
นำรากไปสอดในช่องตรงกลางของฟองน้ำ (ต้องระมัดระวังอย่าให้รากหักหรือพับงอ) โดยสอดเมล็ดผักลงไปให้ส่วนท้ายของเมล็ดผักโผล่จากก้อนฟองน้ำเล็กน้อย
ช่วงนี้แนะนำให้ถาดเพาะโดนแสงสว่างธรรมชาติช่วงเช้าหรือเย็น บ้างอย่างน้อย 2 – 4 ชั่วโมงต่อวัน
– ผักสลัดให้ใส่ 1 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อน
– ผักไทย,ผักจีนให้ใส่ 2 – 3 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อน
8. เมื่อครบ 4 – 5 วัน หลังจากเพาะเมล็ดผัก ต้นกล้าจะงอกใบเลี้ยงคู่ออกมาให้คอยรักษาระดับน้ำในถาดให้สูงประมาณ 1/2 ของฟองน้ำอย่าให้น้ำในถาดแห้ง
ให้ใช้น้ำเปล่าเติมลงในถาด (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในประปาจะทำให้เกิดโรครากเน่า และโคนเน่าได้)
ให้นำถาดอนุบาลต้นกล้า ไปวางรับแสงแดดในตอนเช้าหรือช่วงเย็น ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงต่อวัน (ความถี่แสงสีแดงช่วยเร่งอัตราการเจริญเติบโตของต้นกล้าได้ดี
โดยเฉพาะแสงแดดในช่วงเช้าประมาณ 6.00 – 9.00 โมง และช่วงเย็น 16.00 – 18.00 เป็นช่วงที่มีแสงสีแดงมากที่สุด)
9. เมื่อครบ 7 วัน หลังจากเพาะเมล็ดผัก ต้นกล้าเริ่มมีใบจริง งอกออกมาให้เทน้ำเก่าในถาดอนุบาลออกให้หมด แล้วนำน้ำผสมธาตุอาหาร A, B แบบเจือจาง
เติมลงไปในถาดแทนน้ำเดิม และลดระดับน้ำให้เหลือ 1/3 ของก้อนฟองน้ำ และเพิ่มระยะเวลาในการรับแสงแดดของต้นกล้า 5 – 6 ชั่วโมง/วัน
การเพิ่มปริมาณแสงแดดให้ต้นเกล้าจะทำให้ต้นเกล้าแข็งแรงและเคยชินกับแสงแดดทำให้เวลาย้ายลงปลูกผักจะไม่มีอาการเฉี่ยวเฉาได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดดแรงๆ
– ผักสลัด ปุ๋ย A, B อย่างละ 1 – 2 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร
– ผักไทย ปุ๋ย A, B อย่างละ 2 – 3 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร
10. เมื่อครบ 14 วัน (2 สัปดาห์) ต้นกล้าผักก็พร้อมที่ย้ายลงแปลงปลูกได้แล้ว มีข้อปฎิบัติดังนี้
(ระยะเวลาการอนุบาลในแต่ละฤดูอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นปัจจัย บางฤดูอาจใช้เวลาอนุบาลเพียง 10 วันก็สามารถย้ายลงปลูกได้เลย โดยเราจะสังเกตุได้จากต้นเกล้าเป็นหลักถ้าต้นเกล้ามีใบจริงอย่างน้อย 2 ใบก็สามารถย้ายปลูกได้เลยครับ) สำหรับฟาร์มใหญ่ๆ มักจะมีแปลงอนุบาลในแต่ละช่วงอายุผัก ก็สามารถย้ายลงอนุบาลได้ตั้งแต่เกล้าอายุได้ประมาณ 5 – 7 วัน จะทำให้รอบการปลูกแต่ละรอบสั้นลง โดยก่อนย้ายเกล้าผักลงแปลงให้ปฎิบัติดังนี้
– ให้สเปรย์น้ำให้ทั่วก้อนฟองน้ำก่อนย้ายลงแปลงปลูก และควรเลือกย้ายในช่วงเย็น เนื่องจากช่วงเย็นจนถึงค่ำ พืชจะปรับตัวได้ดีกว่าช่วงกลางวัน และลดความเสี่ยงที่ต้นเกล้าจะเฉาตายจากแดดได้
– ให้เลือกต้นกล้าที่สมบูรณ์และมีขนาดต้นใกล้เคียงกันลงแปลงปลูก
11. นำต้นกล้าใส่กระถางปลูก (สอดต้นกล้าจากด้านล่างกระถางเพื่อป้องกันการพับหักงอของรากพืชจากการใส่ฟองน้ำจากด้านบนกระถาง) โดยให้ก้นของฟองน้ำโผล่ออกมาจากก้นกระถาง
12. นำต้นกล้าที่สวมกระถางปลูกแล้วไปใส่ในช่องปลูกของรางปลูก โดยสังเกตุว่าก้นของฟองน้ำสัมผัสกับน้ำในรางปลูกหรือไม่ หากยังไม่สัมผัสก็ให้ขยับฟองน้ำลงมาเพื่อให้ก้นของฟองน้ำแตะกับน้ำในรางปลูก (ให้น้ำในรางปลูกสัมผัสกับฟองน้ำประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร)